26 ธันวาคม 2556
วิชาการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษEAED2209
เวลา 15.00 - 17.30 น.
หมายเหตุ
ไม่มีการเรียนการสอนเนื่องจากสอบกลางภาค
และดิฉันได้หาเนื้อหาเพิ่มเติม
การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย
วิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย มีดังนี้
1. การสร้างความผูกพันรักใคร่ เป็นพื้นฐานสำคัญในการอบรมเลี้ยงดู พ่อ – แม่ ผู้ปกครองจะต้องเริ่มสร้างความผูกพันรักใคร่ให้เกิดขึ้น
ตั้งแต่เด็กยังอยู่ในวัยแรกเกิด พ่อแม่
ผู้ปกครองได้สัมผัสลูกอย่างอ่อนโยน อุ้มอย่างทะนุถนอม เลี้ยงดูเอาใจใส่ในการทำกิจกรรมต่าง
ๆ ให้กับเด็ก ดูแลความสุขสบายต่าง ๆ พูดคุยกับเด็กด้วยเสียงที่นุ่มนวล เป็นต้น
สิ่งนี้จะเป็นพื้นฐานที่จะช่วยให้การอบรมในวัยเด็กได้ผลดี
อีกทั้งยังเป็นการสร้างความผูกพันรักใคร่ให้เกิดกับเด็กอีกด้วย
2. ระบบการให้รางวัลทางด้านบวก
เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเด็กได้กระทำพฤติกรรมที่พึงปรารถนา จะมีการให้รางวัลหรือสิ่งตอบแทน เช่น
ความรัก ความสนใจ คำชมเชย ซึ่งจะทำให้การกระทำนั้น ๆ
เกิดขึ้นอีก
3. พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องเป็นผู้มีศีลธรรม
ประพฤติปฏิบัติแต่ในสิ่งที่ดีงาม และถูกต้อง
4. การควบคุมสิ่งแวดล้อม พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องจัดสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์
เช่น การจัดให้เล่นเกมเพื่อเด็กจะได้รู้จักกฎเกณฑ์
และการรู้แพ้รู้ชนะ การจัดหาหนังสือที่มีประโยชน์อ่านให้เด็กฟัง
เพื่อให้เกิดนิสัยรักการอ่าน เป็นต้น
5. วิธีการตอบสนองกลับ เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้พูดเพื่อแสดงความรู้สึกของตนออกมาทั้งทางบวกและทางลบ
เมื่อเด็กมีปัญหาพ่อแม่ผู้ปกครองควรตัดสินใจฟังเด็กว่ากำลังพูดอะไร
เมื่อเด็กพูดจบพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องสะท้อนความรู้สึกที่เด็กได้แสดงออกกลับไป
ด้วยคำพูดของพ่อแม่ผู้ปกครองเอง ซึ่งจะทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองเป็นที่ยอมรับและมีคุณค่า
อันจะส่งผลให้พ่อแม่ผู้ปกครองและเด็กเข้าใจได้ตรงกัน
6. การควบคุมพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
พ่อแม่ผู้ปกครองควรควบคุมพฤติกรรมเหล่านี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ
ที่เหมาะสมกับปัญหา วิธีการที่ใช้ในการแก้ปัญหาได้แก่
6.1 การแยกเด็กออกจากกลุ่มในช่วงเวลาสั้น ๆ
6.2 การแยกตัวของพ่อแม่ผู้ปกครอง
6.3 การห้ามไม่ให้เด็กทำสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับตัวเด็กในช่วงเวลาหนึ่ง
6.4 การตี จะใช้ก็ต่อเมื่อใช้วิธีการอื่นไม่ได้ผลแล้ว
ไม่ควรทำกับเด็ก 2 ขวบ
และไม่ควรกระทำอย่างรุนแรง
วิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่ไม่เหมาะสม
วิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่ไม่เหมาะสม มีดังนี้
1. การสั่งสอนไม่ควรเป็นการเทศนา
เพราะจะทำให้เด็กเบื่อ ไม่สนใจใยดีที่จะฟัง
ดังนั้นในการอบรมเลี้ยงดูพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องสอนด้วยเหตุผลสั้น ๆ
อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย
2. การดุด่า ไม่ควรนำมาใช้เพราะจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกเกลียดพ่อ
แม่ ผู้ปกครอง
3. การขู่ พ่อแม่ผู้ปกครองมักใช้คำขู่เด็กเมื่อมีความโกรธหรือเด็กไม่ยอมทำตาม
หรือไม่เชื่อฟัง ดังนั้น
ในการสอนหรืออบรมเด็กไม่ควรนำคำขู่มาใช้
4. การพูดเสียดสี เหน็บแนม
หรือ ถากถาง ที่พ่อแม่ผู้ปกครองประสงค์ทำเพื่อประชดหรือให้เด็กได้เจ็บโดยหวังว่าเด็กจะมีพฤติกรรมที่ดีขึ้น
แต่ในข้อเท็จจริงแล้วกลับกลายเป็นการทำลายสัมพันธ์ภาพระหว่างพ่อแม่ผู้ปกครองกับเด็ก
5. การสัญญา สัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่ผู้ปกครองและเด็ก
ควรอยู่บนพื้นฐานของความ เชื่อถือ
เชื่อใจซึ่งกันและกันไม่ใช่การสัญญา
6. การติดสินบน จะทำให้เด็กทำดีเพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่ในระยะยาวแล้วจะไม่ได้ผล
เพราะไม่สามารถติดตัวเด็กเป็นนิสัยได้
7. การหลอกหรือหยอกล้อเด็กในทางที่ไม่ควร
เพื่อหวังผลให้เด็กหยุดพฤติกรรมที่กำลังทำอยู่ หรือเพื่อความสนุกสนาน นอกจากจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกกลัวโดยไร้เหตุผลแล้ว
ยังเป็นการขัดขวางความอยากรู้อยากเห็นของเด็กอีกด้วย
บทบาทของพ่อแม่ ผู้ปกครองในอบรมการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย
พ่อแม่ ผู้ปกครองนอกจากจะเลี้ยงดูเด็กให้มีร่างกายแข็งแรง
ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วยังจะต้องมีการพัฒนาทางจิตใจ
และทางสังคมในเชิงจิตวิทยาให้กับเด็กด้วย บทบาทของพ่อแม่ ผู้ปกครองในการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย
มีดังนี้
1. การตอบสนองความต้องการพื้นฐานของเด็กอย่างเพียงพอ
ซึ่งความต้องการพื้นฐานของเด็กแต่ละวัยไม่เหมือนกัน
เด็กแรกเกิดจะมีความต้องการทางร่างกายมาก ดังนั้นพ่อแม่ควรดูแลเรื่องอาหารการกิน การนอน
การขับถ่าย และเมื่อเด็กโตขึ้นควรให้ความมั่นคงปลอดภัย
ความอบอุ่นและความรัก
2. การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมการพัฒนาการของเด็ก ซึ่งได้แก่ การจัดให้เด็กได้พบกับสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาของเด็ก
การเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กเลียนแบบ เป็นต้น
3. การยอมรับในสิทธิของความเป็นคนของเด็ก
การอบรมเลี้ยงดูเด็กของพ่อแม่ ผู้ปกครองมักจะมี 2
แบบ (ฉวีวรรณ กินาวงศ์. 2533 : 88-91) คือ1) แบบอัตตาธิปไตยหมายถึง การที่พ่อแม่ผู้ปกครองใช้กฎเกณฑ์ตายตัวและทำทุกอย่างตามกฎเกณฑ์เด็กที่ทำผิดมักจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง
และ 2) แบบประชาธิปไตย
คือ การอบรมเลี้ยงดูเด็กอย่างมีเหตุผล
ให้เด็กมีสิทธิเสรีภาพการยอมรับในสิทธิความเป็นคนของเด็ก
ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและผลต่อพฤติกรรมของเด็ก
ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและผลต่อพฤติกรรมของเด็ก มีลักษณะ ดังนี้
1. ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและแม่ หมายถึง บทบาทของพ่อแม่ของเด็กในฐานะคู่สมรสจากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ที่มีต่อพฤติกรรมของเด็กเป็นดังนี้
(ฉวีวรรณ กินาวงศ์. 2533
: 84)
1.1 ครอบครัวที่เรียกว่า “บ้านแตก” (Broken Home) ซึ่งได้แก่ ครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้างกัน
หรือแยกกันอยู่ จะทำให้เด็กมีปัญหาในเรื่องของการปรับตัวและทำให้เด็กมีพฤติกรรมเกเร
มีปมด้อย เป็นโรคประสาท
1.2 ครอบครัวที่พ่อแม่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับชีวิตสมรสได้ดี
เช่น ทะเลาะกันบ่อย ๆ
จะทำให้เด็กมีปัญหาได้
1.3 ครอบครัวที่พ่อแม่ไม่มีเวลาให้แก่เด็ก
จะทำให้เด็กรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง ขาดความรักและความเอาใจใส่
อาจส่งผลให้เด็กมีบุคลิกลักษณะไม่ดีเท่าที่ควร
1.4 เด็กกำพร้า เช่น
พ่อแม่เสียชีวิต หรือแต่งงานใหม่
จะส่งผลต่อการปรับตัวของเด็กเป็นอย่างมาก
1.5 ครอบครัวที่มีบรรยากาศเป็นกันเอง
พ่อแม่รักใคร่กันดี จะช่วยให้เด็กเจริญเติบโตไปในทางที่ดีและเด็กจะไม่มีปัญหา
2. ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก
หมายถึง ความรู้สึกที่พ่อแม่มีต่อลูกและความรู้สึกที่ลูกมีต่อพ่อแม่
ความสัมพันธ์แบบนี้มักจะขึ้นอยู่กับเจตคติของพ่อแม่ที่มีต่อลูก
ทั้งนี้เพราะพ่อแม่มีเจตคติต่อลูกอย่างไร ก็จะปฏิบัติต่อลูกอย่างนั้น
ซึ่งแบ่งออกเป็น 6
แบบ ดังนี้ (ฉวีวรรณ กินาวงศ์. 2533 :
84-87)
2.1 พ่อแม่รักและคอยช่วยเหลือเอาใจใส่ลูกมากเกินไป
ผลที่พ่อแม่ตามใจเด็กมากเกินไป ทำให้เด็กต้องพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา
เด็กไม่กล้าทำอะไรเอง ตัดสินใจอะไรตามลำพังไม่ได้
เมื่อเข้าโรงเรียนจะประสบปัญหายุ่งยากต่าง ๆ
2.2 พ่อแม่เอาใจลูกมากเกินไป พ่อแม่ประเภทนี้จะตามใจลูกและยอมลูกทุกอย่างต่อไปเด็กพวกนี้จะเป็นคนที่ดื้อรั้น
ไม่ยอมฟังผู้ใหญ่ และเอาแต่ใจตนเอง
2.3 พ่อแม่ที่ทอดทิ้งเด็ก พ่อแม่ประเภทนี้จะไม่เอาใจใส่เด็ก
ไม่คำนึงถึงสวัสดิภาพของเด็ก ผลของการที่พ่อแม่ทิ้งเด็กมากเกินไปจะทำให้เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว
ชอบเรียกร้องความสนใจ ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน
ชอบทะเลาะกับเพื่อนฝูงอยู่เสมอ หรือเป็นเด็กที่ยอมแพ้ผู้อื่น
ขี้อาย ขลาดกลัว และมีอารมณ์ที่ไม่มั่นคง
2.4 พ่อแม่ยอมรับเด็ก พ่อแม่ประเภทนี้จะยอมรับและเห็นความสำคัญของเด็กทำให้เด็กเกิดความอบอุ่น
ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และเด็กเป็นไผปอย่างราบรื่น
2.5 พ่อแม่ที่ชอบบังคับลูก พ่อแม่ประเภทนี้จะให้เด็กทำตามทุกอย่าง
เด็กจะมีพฤติกรรมทางสังคมดี มีสัมมาคารวะมากกว่าเด็กที่พ่อแม่ปล่อยให้เป็นอิสระ
แต่อย่างไรก็ตามเด็กพวกนี้จะเป็นคนขี้อาย มีความรู้สึกไวต่อสิ่งที่มากระทบกระเทือน มีปมด้อย
ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น
2.6 พ่อแม่ยอมจำนนต่อลูก
พ่อแม่ประเภทนี้จะยอมให้ลูกเป็นใหญ่ มีสิทธิภายในบ้านลูกต้องการอะไรพ่อแม่จะหามาให้ทั้งสิ้น
จะทำให้ลูกทำตัวเป็นนายข่มพ่อแม่ ไม่ค่อยเคารพนับถือพ่อแม่เท่าที่ควร
การพัฒนาการและความพร้อม : ด้านร่างกายอารมณ์ – จิตใจ และสังคม
ความพร้อมทางการเรียน หมายถึง
สภาพความพร้อมในด้านร่างกาย สังคม
อารมณ์ – จิตใจ และสติปัญญาของเด็กที่จะเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้อย่างบังเกิดผล
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะ หรือ
การฝึกฝนหรือทั้งสองอย่างประกอบกันก็ได้
พัฒนาการและความพร้อมทางด้านร่างกาย
จุดมุ่งหมายของการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกาย
การจัดประสบการณ์หรือการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายให้แก่เด็กในระดับชั้นอนุบาลศึกษา
มีจุดมุ่งหมาย ดังนี้
(สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. 2537ก : 3)
1. มีร่างกายเจริญเติบโตตามวัย
2. พัฒนากล้ามเนื้อและประสาทสัมพันธ์
3. มีสุขนิสัยในการรักษาสุขภาพอนามัย
4. เรียนรู้การระวังและรักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น
โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า จุดมุ่งหมายของการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายเพื่อต้องการให้เด็กมีร่างกายแข็งแรง
สมบูรณ์ มีน้ำหนัก ส่วนสูงตามเกณฑ์ที่กำหนด สามารถใช้กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กได้
ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การวิ่ง
การกระโดด ใช้มือรับสิ่งของ
ตัดกระดาษ วาดภาพ
หรือใช้เชือกร้อยวัสดุขนาดเล็ก – ใหญ่ได้